ทำความรู้จักกับผ้า Tencel : ทำไมต้องเป็นผ้า Tencel (Lyocell)

 

1. ผ้า Tencel เป็นผ้าที่รวมคุณสมบัติของเส้นใยทั้ง 6 ชนิดเข้าไว้ด้วยกัน คือ




2. ผ้าสามารถปรับอุณหภูมิได้ตามร่างกายมนุษย์และสภาพแวดล้อม  จากร้อนเป็นเย็น และเย็นเป็นร้อนได้  จึงรู้สึกอบอุ่นเวลาหนาว เย็นสบายเวลาร้อน  เมื่อเทียบกับผ้าประเภทอื่นแล้วจะเห็นว่า ผ้า tencel สามารถระบายความชื้นได้มากที่สุด



3.  ผ้ารักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากใช้กระบวนการผลิตที่สามารถนำตัวทำละลายที่อยู่ในการผลิตกลับมาใช้ได้ใหม่เกือบ 100%

 

4. ผ้าที่เหมาะสมผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายเนื่องจากเป็นผ้าที่ผลิตจากใยธรรมชาติจากต้นไม้ และมีความอ่อนนุ่ม รวมทั้งผ้า tencel มีความสามารถในการดูดซับความชื้น ทำให้ผิวไม่แห้งและก่อให้เกิดความระคายเคืองแก่ผู้ใช้  



จากภาพจะเห็นว่า เส้นใยของผ้า tencel ดูดซับความชื้นได้มากกว่าผ้าโพลีเอสเตอร์และผ้าฝ้าย

 

5. ผ้า tencel  ยังปลอดจากแบคทีเรียและไม่เป็นที่อยู่อาศัยของไรฝุ่น เนื่องจากคุณสมบัติในการดูดซับและระบายความชื้นได้อย่างดีเยี่ยม  จึงเป็นเสมือนการทำลายแบคทีเรียด้วยวิธีการธรรมชาติ

 
 




จากภาพจะเห็นการเจริญเติบโตของแบคทีเรียของผ้าประเภทต่างๆ เมื่อเทียบกับผ้า tencel แล้วแทบไม่พบแบคทีเรียแลย


          จากการทดลองวิจัยพบว่า เมื่อผ่านไป 6 สัปดาห์ ที่นอนแบบ polyurethane foam with integrated TENCEL® powder มีจำนวนไรฝุ่นลดลง ขณะที่ที่นอนปกติจะมีจำนวนไรฝุ่นเพิ่มขึ้นถึง 17 เท่า

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


http://www.lenzing.com/en/fibers/tencel/applications/hometextiles/botanic-bed.html
 และภาพจากอินเตอร์เน็ต

ห้องสมุดที่มีค่าก่อสร้างร่วมหมื่นล้านบาท
ห้องสมุดประชาชนเมืองเบอร์มิงแฮม” เป็นห้องสมุดประชาชนที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร และเป็นห้องสมุดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเบอร์มิงแฮม ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการในวันที่ 3 กันยายน 2013   แทนที่ห้องสมุดประชาชนบรูทัลลิสต์ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1974 ออกแบบโดยบริษัท Mecanoo ของเนเธอร์แลนด์ ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 189 ล้านปอนด์ หรือเกือบหมื่นล้านบาท มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ  35,000 ตารางเมตร รวมทั้งหมด 10 ชั้น โดยมุ่งหวังจะให้เป็น Landmark ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล  ชั้นล่างเป็นห้องสมุดของเด็ก และชั้นบนสุดเป็นห้องรวบรวมผลงานของ Shakespeare  มีการตกแต่งที่ผสมผสานกัน ตั้งแต่ยุควิกตอเรียน จนถึงบันไดเลื่อนที่สะท้อนความเป็นสมัยใหม่ เหมือนอยู่ในห้างสรรพสินค้า  รูปทรงของอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยม แต่มีการออกแบบให้เหมือนถูกห่อหุ้มด้วยทรงกลมอีกชั้นนึง  นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับการพบปะสังสรรค์  เนื่องจากหัวหน้าทีมออกแบบมองว่า ห้องสมุด คือ "the cathedrals of nowadays… the most public space in the knowledge economy"  และต้องการจะสะท้อนว่า  การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องสมุดแห่งนี้ไม่ใช่ได้จากการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว  แต่อาจเกิดจากการสนทนาของผู้คน ณ สถานที่แห่งนี้ได้ด้วยเช่นกัน







ห้องสมุดมีบริการคอมพิวเตอร์ให้ใช้ด้วย สมาชิกสามารถจองล่วงหน้าได้ โดยจองล่วงหน้าได้ 7 วัน โควต้าการใช้งานสูงสุด 9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์  ใช้ได้สูงสุดครั้งละ 3 ชั่วโมง ถ้าใช้งานไม่ครบ 3 ชั่วโมง จะสามารถเก็บชั่วโมงไว้ใช้ต่อได้  หากมาช้า เวลาจะถูกหักไปเรื่อยๆ  และถ้ามาช้าเกิน 10 นาที  การจองจะถูกยกเลิกไปเลย ถ้าไม่ได้จองล่วงหน้า จะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้เพียง 20 นาที  นอกจากนี้ยังมีบริการ print  แบบ self service และ scan เอกสารด้วย   สำหรับ Wifi สามารถใช้ได้เลยเพราะเป็น free wifi
 
เวลาที่เปิดให้บริการ
Mondays and Tuesdays : 11am - 7pm
Wednesdays to Saturdays: 11am - 5pm
 
Sundays: Closed
 
อย่างไรก็ตาม ห้องสมุดขนาดใหญ่แม้ว่าจะดูทันสมัยและน่าตื่นตาตื่นใจ หากมองในมุมของการเงินแล้ว จะพบว่า ห้องสมุดของประเทศอังกฤษได้ทยอยปิดตัวลงเรื่อยๆ เนื่องจากความต้องการลดค่าใช้จ่าย    ห้องสมุดเมืองนิวคาสเซิลที่เพิ่งเปิดใช้ปี 2009 ก็ใช้งบประมาณไปประมาณ 24 ล้านปอนด์ แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องปิดการให้บริการ ณ สาขาอีก 10 แห่ง  ห้องสมุดเมืองลิเวอร์พูลก็ปิดห้องสมุดสาขา 4 แห่งและลดเวลาการให้บริการลง  ในช่วงปี 2011/2012  จำนวนห้องสมุดทั่วสหราชอาณาจักรลดลง 347 แห่ง  ซึ่งห้องสมุดเบอร์มิงแฮมเองก็มีการลดค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน เห็นได้จากการลดจำนวนพนักงานประจำจาก 260 คนเหลือ 161 คน  ผู้อำนวยการของห้องสมุดเมืองเบอร์มิงแฮมเองก็ยอมรับว่า ค่อนข้างจะโชคดี เพราะการก่อสร้างได้รับการอนุมัติก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน หากดำเนินการล่าช้าไปเพียงหนึ่งปี  อาจจะไม่มีการก่อสร้างห้องสมุดแห่งนี้ก็ได้  งบประมาณการก่อสร้างส่วนใหญ่มาจากการขายที่ดิน และมาจากเงินบริจาคเป็นส่วนน้อย
 Benjamin Zephaniah นักกวีของอังกฤษเองได้ให้ความเห็นว่า  ห้องสมุดประชาชนเมืองเบอร์มิงแฮมนับเป็นความภาคภูมิใจ และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้  แต่ว่าห้องสมุดขนาดเล็กก็ยังคงมีความสำคัญ เพราะเป็นแหล่งการเรียนรู้ของชุมชน ซึ่งเขาเองก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากห้องสมุดในชุมชน  ห้องสมุดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ปัจจัยสำคัญคือความรอบรู้ของบรรณารักษ์และเจ้าหน้าที่ ซึ่งเขามองว่า บรรณารักษ์ที่รู้จักหนังสือบนชั้นต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง   ในกรณีที่ห้องสมุดมีขนาดใหญ่ เขาเกรงว่า บุคลากรอาจจะมีปัญหาในการให้คำแนะนำเพราะข้อมูลต่างๆ ค่อนข้างเยอะ
http://www.theguardian.com/artanddesign/2013/sep/01/birmingham-library-review-rowan-moore
 
 

Oxford Town Hall

หากมีโอกาสไปเที่ยวเมือง Oxford ของอังกฤษแล้ว นอกจากจะไปดื่มด่ำกับบรรยากาศในภาพยนตร์ Harry Potter  ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด หลายคนคงได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมือง ณ Musuem of Oxford ที่มีพัฒนาการร่วม 3,000 ปี  พิพิธภัณฑ์กำลังจัดงานครบรอบ 40 ปี จึงจัดกิจกรรมให้ประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วม โดยให้นำ “สิ่งของ รูปภาพ หรือเอกสาร” ที่ตัวเองมีอยู่และคิดว่า จะบอกเรื่องราวของเมืองอ๊อกซ์ฟอร์ดในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาได้อย่างดี   ระหว่างที่บอกเล่าเรื่องราว จะมีทีมงานบันทึกเสียงและนำสิ่งของดังกล่าวไปถ่ายรูป/วิธีการต่างๆ เพื่อจัดเก็บในรูปแบบดิจิตอบ แล้วคืนให้แก่เจ้าของ  จากนั้นจะข้อมูลต่างๆมาจัดแสดง




นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ได้เปิดรับอาสาสมัครมาช่วยปฏิบัติงาน อาทิ คอยต้อนรับและช่วยนักท่องเที่ยว  ดูแลนักท่องเที่ยวหรือผู้ร่วมงานที่มาเป็นครอบครัว  พานักท่องเที่ยวทัวร์ town hall  ช่วยงานต่างๆ ที่ Old Museum  ช่วยจัดนิทรรศการ และอื่นๆ  ผู้ที่มาเป็นอาสาสมัครเองก็จะได้รับประสบการณ์ ความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น  ได้พบปะกับผู้คนต่างๆ และได้ซึมซับเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของเมืองของตัวเองอีกด้วย

 

 


แต่ก่อนที่จากไป ลองแวะไปเที่ยวชม Town Hall ของเมืองอ๊อกซ์ฟอร์ดอีกสักหน่อยไหม  


ทัวร์ Town Hall จะพาไปชมห้องประชุมของสภาเมืองอ๊อกซ์ฟอร์ด (Council Chamber) ที่สมาชิกสภาจะใช้ประชุมกันในปัจจุบัน  ห้องพิพากษาคดี (Court Room)  ซึ่งใข้งานมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980  จากนั้นจะพาไปชมเพดานโค้งที่สร้างในยุคกลาง (Medieval Cellar)  สิ่งก่อสร้างของชาวยิวในยุคกลาง รวมทั้งสิ่งของมีค่าต่างๆ

 
ทัวร์ Town Hall นี้กำหนดเงื่อนไขว่า ต้องจองไม่ต่ำกว่า 10 คน และจองล่วงหน้า 5 สัปดาห์ รวมทั้งขึ้นอยู่กับความพร้อมของสถานที่ด้วย

ราคาทัวร์จะแบ่งออกเป็น 2 ราคา คือ ราคาแบบปกติ (Standard Group Tour)  มีค่าใช้จ่ายคนละ 4 ปอนด์ (สองร้อยกว่าบาท)  ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  และได้รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อของที่ร้านขายของที่ระลึกหรือร้านคาเฟ่   อีกแบบคือราคาทัวร์ที่รวมชาและสโคน (Tea and Scone) จากร้าน Lemon Zest ใช้เวลา 1 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่จะเพิ่มสถานที่ให้เยี่ยมชม คือ พิพิธภัณฑ์เก่า ที่อยู่ระหว่างการเฉลิมฉลอง 40 ปี  และจะนั่งดื่มน้ำชาและทานขนมที่นี่เลย  คิดค่าใช้จ่ายคนละ 10 ปอนด์ (ห้าร้อยกว่าบาท)  ยังคงได้รับส่วนลด 10% เมื่อซื้อของที่ร้านขายของที่ระลึกหรือร้านคาเฟ่

 



ข้อมูลและรูปภาพจาก



http://www.oxford.gov.uk/PageRender/decM/GetInvolvedMuseumofOxford.htm

ปกป้องผิวจากความหนาว


เคยเขียนเรื่องราวถึงการเผชิญความหนาวที่จีนมาแล้ว แต่ไม่ได้กล่าวถึงเครื่องช่วยชีวิตผิวจากอุณหภูมิระดับติดลบ ดูเหมือนจะขาดอะไรไป มาดูกันเลยดีกว่า ผิวพรรณของเราก็ยังดูดี ไม่มีหน้าลอกเป็นขุยแต่ประการใด ใช้อะไรบ้าง

1. ครีมล้างหน้า 
เราใช้ Gentle Foaming Cleanser with Shea Butter (Dry or Sensitive Skin) ของ Clarins ล้างแล้วหน้าไม่แห้งตึงนะ


2. โทนเนอร์ 
เราใช้ Toning Lotion with Camomile (Normal or Dry Skin) จะเป็นขวดน้ำสีเหลือง อยู่เมืองไทยก็ใช้ขวดนี้ตลอดด้วยนะ

3. Serum 
เอาไป 3 แบบเลย คือ น้ำมัน Blue Orchid Face Treatment Oil เวลาใช้ จะบีบผสมกับโทนเนอร์บนฝ่ามือ แล้วแปะๆ ให้ทั่วหน้า จากนั้นก็ตามด้วย Double Serum อีกรอบนึงถ้าหนาวมาก ถ้าหนาวไม่มาก ก็จะใช้ HydraQuench Intensive Serum Bi-Phase สลับกับ Double Serum (ตัวนี้หมดไปแล้ว เลยไม่มีรูปขวดจริงมาให้ดู)

    

4. ครีมบำรุง
เราใช้ HydraQuench Cream-Gel เลือกใช้ตระกูล Hydra เพราะคิดเอาว่า น่าจะช่วยเติมเรื่องความชุ่มชื้น เหมาะกับสภาพอากาศหนาวนะ (หมดอีกแล้วนะจ๊ะ ไม่มีขวดจริงให้ดู)


5. ครีมกันแดด
ตัวนี้ใช้ประจำอยู่แล้วที่เมืองไทย UV Plus Day Screen Multi-Protection SPF50 / PA++++ เลยเอาติดไปด้วยเลย


6. ครีมอาบน้ำ
ไปสอย Tonic Bath & Shower Concentrate มาจากแถวทองหล่อ เพราะเห็นว่าผสม oil ด้วย ตอนแรกว่าจะเอา eucerin ไป แต่ว่าพออาบแล้วดูตัวมีเมือกๆ ไม่ค่อยชอบ กลิ่นหอมดี ตอนอาบ อย่ากลัวเปลือง ถูให้ทั่ว ดีกว่าผิวแตก ในรูปเป็นขวดที่สองหละ


7. ครีมทาตัว
เปลี่ยน field นอกใจ Clarins บ้าง มาใช้ Origins A Perfect World™ Intensely hydrating body cream with White Tea หอมดี กลิ่นเป็นเอกลักษณ์จริงๆ นะยี่ห้อนี้ เห็นร่องรอยของการใช้ พอกลับมาก็ไม่ค่อยได้ใช้หละ ขี้เกียจ ไม่มีปัจจัยผลักดัน


8. Body Oil 
ยังคงติดใจกับ Origins เลยซื้อ Ginger Gloss™ Smoothing body oil มาด้วย เอาไว้ฉีดผิว แล้วค่อยทา Body cream ทับอีกที


9. ลิปมันทาปาก 
ใช้ Elizabeth Arden 8 Hours Cream Lip Protectant Stick มีกันแดดด้วย ส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงใจอะ (ของหายไปหละ เลยใช้รูปจากอินเตอร์เน็ตแทน)


อันสุดท้าย เป็น Body Oil ที่ซื้อมาเตรียมไว้ แต่พอเจอกลิ่นแล้ว ไม่ค่อยชอบ รู้สึกฉุนไปหน่อย (แล้วแต่ความชอบส่วนตัวนะ) คือ Johnson’s baby oil gel : shea and cocoa butter เลยเป็นชิ้นที่ไม่ได้ใช้เลยนะจ๊ะ